วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

อาหารเสริมพลังเพศชาย

  ต้องขออภัยอย่างยิ่งที่ผู้เขียนไม่ได้เรียนหมอแต่ดันมาทำบล็อกเรื่องอาหารสุขภาพ เกี่ยวกับเพศชายและหญิง แต่ความรู้ในเรื่องเหล่านี้คนไม่เรียนหมอก็จริง แต่มันเป็นความจำเป็นสำหรับร่างกายของเราที่จำเป็นต้องรู้ ถ้าจะไปหาหมอเพื่อปรึกษาหารือเรื่องเหล่านี้ บางคนก็ไม่มีโอกาส ไม่มีเวลา และที่สำคัญ บางทีไม่อยากเสียเงินเสียเวลา ไปหาหมอที่คลีนิก ที่บางแห่งจะเก็บค่าปรึกษาแพงๆ และต้องไปนั่งรอเป็นวันๆ โชคดีสำหรับคนที่มีอินเตอร์เน็ต และโชคดีอีกขั้นที่อินเตอร์เน็ตสมัยนี้เข้าถึงได้ไม่ยาก ก็เลยได้ความรู้เหล่านี้มาฝากกัน สำหรับวันนี้ก็เป็นเรื่องของ.....

อาหารเสริมพลังเพศชาย

ความแข็งแรงของอวัยวะเพศและร่างกายจำเป็นต้องได้รับการออกกำลังกาย การพักผ่อน และอาหารที่มีคุณภาพ คนทั่วไปที่รับประทานอาหารได ้มักจะไม่จำเป็นต้องเสริมอาหารหรือวิตามิน แต่สำหรับผู้ที่เลือกรับประทานอาหาร หรือรับประทานอาหารซ้ำๆกัน ไม่มีความหลากหลายของอาหาร หรือไม่รับประทานผักและผลไม้ หรือผู้ที่เจ็บป่วยอาจจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ก็อาจจะทำให้เกิดการขาดสารอาหารบางชนิด ที่มีความจำเป็นสำหรับความแข็งแรงของร่างกายและองคชาติ สารอาหารซึ่งจำเป็นได้แก่ Vitamin C วิตามินซีจะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปอวัยวะเพศเพิ่มขึ้น โดยการที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดี และยังทำให้ตัวเชื้อ Sperm แข็งแรงและวิตามินซียังป้องกันไม่ให้เชื้อ sperm จับกันเป็นกลุ่ม ขนาดที่แนะนำ 500-1000 มก/วัน คลิกอ่านที่นี่ Chromium การขาดวิตามินนี้จะทำให้ความต้องการทางเพศลดลง และปริมาณเชื้อ Sperm ก็ลดลง นอกจากนั้นก็ยังมีรายงานว่าป้องกันโรคเบาหวานได้ด้วย การให้ Chromium จะป้องกันโรคเบาหวาน ลดระดับน้ำตาล ทำให้ป้องการอาการเสื่อมทางเพศเนื่องจากโรคเบาหวาน ขนาดที่แนะนำ 50-200ไมโครกรัม/วัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยา อ่านที่นี่ ธาตุสังกะสี Zinc สังกะสีมีบทบาทสำคัญในเรื่องสุขภาพเพศชาย ช่วยในการสร้าง Sperm การสร้างฮอร์โมนเพศชาย และการทำงานของต่อมลูกหมาก การขาดธาตุสังกะสีจะทำให้เป็นหมันเนื่องจากเชื้อน้อย เกิดโรคกามตายด้าน Impotence และน้ำจากต่อมลูกมากลดลง ขนาดที่แนะนำ 30 มก./วัน อ่านที่นี่ L-arginine L-arginine เป็นกรด amino acid ที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง และก็พบได้ในอาหารหลายชนิด การได้รับสารชนิดนี้จะช่วยในการแข็งตัวของอวัยวะเพศ เนื่องจากสารนี้เป็นสารตั้งต้นของการผลิต Nitric oxide Nitric oxide จะเพิ่มเลือดให้ไปอวัยวะเพศเพิ่มขึ้นโดยการขยายหลอดเลือดที่อวัยวะเพศทำให้มีการแข็งตัวดีขึ้น และอวัยวะเพศมีขนาดใหญ่ขึ้น ขนาดที่แนะนำ 3-6 มก./วัน รับประทาน 2-6 สัปดาห์จึงจะเห็นผล ควรจะรับประทานก่อนการร่วมเพศ ครึ่งชั่วโมง ใบแปะก๊วย Ginkgo biola เราทราบกันดีว่าใบแป๊ะก๊วยจะขยายเส้นเลือดสมองทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ป้องกันสมองเสื่อม เรานำคุณสมบัติของการขยายเส้นเลือดมาใช้พบว่านอกจากจะขยายเส้นเลือดสมองแล้วใบแป๊ะก๊วยจะขยายเส้นเลือดที่ไปเลี้ยง มือ เท้า และอวัยวะเพศ และยังทำให้เส้นเลือดขยายตัวรับเลือดได้มากขึ้น มีการทดลองใช้กับผู้ชายพบว่าหลัง 6 สัปดาห์การแข็งตัวของอวัยวะเพศดีขึ้น ขนาดที่แนะนำ 80 มก./วันละ 3 ครั้ง โสม Ginseng โสมเป็นเครื่องดื่มที่นิยมทั้งในประเทศจีน เกาหลี เป็นอาหารบำรุงฮ่องเต้มาตั้งแต่อดีต โสมจะช่วยเพิ่มกรด Nitric oxide ในอวัยวะเพศทำให้เลือดไปเลี้ยงเพิ่มขึ้น ทำให้มีการแข็งตัวดีขึ้น โสมยังกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนเพศชายเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ส่วนประกอบบางชนิดในโสมจะมีลักษณะเหมือนฮอร์โมนเพศเพศชาย จึงไม่แปลกใจที่โสมเป็นอาหารที่บำรุงทางเพศ ขนาดที่แนะนำ 100-300 มก.วันละ 2 ครั้งไม่แนะนำในคนที่เป็นความดันโลหิตสูง มีการศึกษาพบว่าการใช้โสมสามารถช่วยผู้ป่วยกามตายด้านได้ถึงร้อยละ 67%หลังจากรับประทานโสม 1 สัปดาห์ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าโสมช่วยเพิ่มพลังร่างกาย กระตุ้นความต้องการทางเพศ เพิ่มการไหลเวียนไปยังอวัยวะเพศ เพิ่มฮอร์โมนเพศชาย ยาเม็ดเพิ่มขนาด หากท่านเป็นนักท่องเวปโดยเฉพาะเวปเกี่ยวกับเรื่องเพศท่านจะพบกับโฆษณายาเม็ดเพิ่มเพิ่มขนาด หรือยาเม็ดเพื่อความอดทนได้ผล 100% ส่วนประกอบของยาเม็ดเหล่านี้ประกอบไปด้วยวิตามินดังกล่าวข้างต้นแล้วยังมีสมุนไพรหลายชนิด สมุนไพรที่นิยมใส่มากที่สุดคือ Yohimbe โดยมีการทดลองในสัตว์พบว่ายานี้จะเพิ่มการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตสูง และการไหลเวียนไปยังอวัยวะเพศทำให้อวัยวะเพศแข็งมากขึ้น ใหญ่มากขึ้น แต่การที่จะให้มีขนาดเพื่อขึ้น ร่างกายต้องแข็งแรงโดยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารสุขภาพ งดสุรา บุหรี่
เครดิต http://www.siamhealth.net

 

หมามุ่ย ไวอากร้าไทยๆ

  เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนได้ยินคนพูดกันถึงเรื่อง หมามุ่ย กับสรรพคุณอันยอดเยี่ยมซึ่งผู้เขียนก็ไม่เคยรู้มาก่อน รู้แต่ว่าเจ้าหมามุ่ยนี้ถ้าใครโดนเข้าไปต้องมีอาการคันคะเยอทุกราย เพราะสมัยเป็นนักเรียนพวกเพื่อนๆชอบพากันไปเก็บมาแกล้งกัน รูปร่างของมันเปนฝักเล็กๆคล้ายฝักถั่วแปบสีทองๆ แต่มีขนละเอียดเยอะแยะทั่วทั้งฝัก แค่ลมพัดขนร่วงปลิวมาโดนตัวเราก็คันแย่แล้วละครับ.... และคำว่าหมามุ่ยนี่ ก็ไม่รู้ใครตั้งชื่อให้ สมัยโบราณคงมีคนเห็นหมามันวิ่งไปโดนเจ้าฝักคันๆ อันนี้ แล้วเกิดหน้ามุ่ย ด้วยความคันคะเยอกระมัง (อันนี้ผู้เขียนคิดและคาดเดาไปเองนะครับ) เลยเรียกเจ้าพืชชนิดนี้ว่า หมามุ่ย 

ไม่ได้การละ ผู้เขียนเลยไปค้นข้อมูลมาจากกูเกิล เว็บสมุนไพรอภัยภูเบศรให้ข้อมูลได้น่าเชื่อถือดี เลยขออนุญาตนำมาลง ณ ที่นี้ด้วย และนี่คือข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของหมามุ่ยครับ.............................

 

มหัศจรรย์'หมามุ่ย' ไวอากร้าพันธุ์ไทย-บำรุงกำลัง


เมธาวี มัชฌันติกะ

หมามุ่ย หรือ หมามุ้ย เป็นพืชลุ้มลุกตระกูลถั่ว มีชื่อคุ้นหูคนไทยเรามานานแล้ว

แต่เมื่อจินตภาพถึงก็อาจไม่ค่อยชวนยิ้มเท่าไหร่ เพราะจะไปโยงถึงอาการคันคะเยอ แพ้เป็นผื่นบวมแดงเวลาโดนเพื่อนแกล้งเอาหมามุ่ยมาโยนใส่

แต่ล่าสุด 'หมามุ่ย' กำลังผงาดขึ้นมา สร้างคุณประโยชน์สรรพคุณทางยาที่สำคัญ

ภายหลังจากนักวิจัยไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร

สามารถสกัดเอาสารตามธรรมชาติในหมามุ่ยมาผลิตเป็นยาสมุนไพรบำรุง สเปิร์ม และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศให้กับคุณผู้ชายทั้งหลาย!

'หมามุ่ย'
 มีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Mu cuna pruriens (L.) DC. ชื่อวงศ์ FABA CEAE

มีชื่ออื่นๆ ในภาษาถิ่น คือ กลออื้อแซ โพล่ยู มะเหยือง และหมาเหยือง

ความ สำเร็จในการ นำหมามุ่ยมาวิจัยต่อยอดสร้างยาสมุนไพรเสริมสร้าง 'สุข ภาพทางเพศ' ให้กับบุรุษนั้นแถลงข่าวและเปิดเผยกันอย่างเป็นทางการในงานมหกรรมสมุนไพร แห่งชาติ ครั้งที่ 8 ซึ่งปีนี้จัดขึ้น ภายใต้แนวคิด 'ยาไทย เด็กใช้ได้ ผู้ใหญ่ใช้ดี Herb for All' ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม-4 กันยายน 2554 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ภายในงานดังกล่าวมีการจัดประชุม วิชาการด้านการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก จัดแสดงนิทรรศการยาไทย ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ยาไทยทุกภาค หลากตำรับ ตรวจสุขภาพเด็ก วัยรุ่น ผู้หญิง ผู้ชาย และผู้สูงอายุด้วยการแพทย์แผนไทย แผนจีน และแพทย์ทางเลือก เป็นต้น ซึ่งในแต่ละปีจะมีการชูความพิเศษของสมุนไพรไทยอย่างสม่ำเสมอ

ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว เภสัชกรชำนาญการ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เปิดเผยรายละเอียดการวิจัยหมามุ่ยครั้งนี้ว่า

หมามุ่ย เป็นสมุนไพรพื้นบ้านของไทยที่ใช้อย่างแพร่หลายในอดีต

ปัจจุบันมีการใช้ลดลง ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากหมามุ่ย เป็นเถ้าที่เมื่อขึ้นแล้วขนจะปลิวไปทำให้เกิดความคัน

เมื่อพบ..จึงโดนทำลายทิ้งเสียเป็นส่วนมาก

อย่างไรก็ตาม หมามุ่ยมีประโยชน์มากมายโดยที่คนส่วนใหญ่แทบไม่เคยรู้ และคุณประโยชน์ของสมุนไพรแสนคันตัวนี้ มีมากกว่าที่คิดไว้

โดยเฉพาะคุณสมบัติบำรุงกำลัง ช่วยการมีบุตรยาก ทำให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น!

ภญ.ผกา กรอง กล่าวว่า ลักษณะทั่วไปของหมามุ่ย เป็นไม้เลื้อยล้มลุก ลำต้นเล็กเหนียวคล้ายเชือก ดอกออกเป็นช่อห้อยลง สีม่วงแก่ถึงม่วงออกดำ 


1.ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว

2.นายวิทยา บุรณศิริ รมต.สาธารณสุข นำทีมชิมสูตรหมามุ่ย ระหว่างการประชุมรัฐสภา


ผล เป็นฝักยาว รูปร่างคล้ายถั่วลันเตา ปกคลุมด้วยขนละเอียดสีน้ำตาลอมแดงหรือสีทองอมแดง ที่เป็นพิษและหลุดร่วงง่าย ภายในฝักมีเมล็ดรูปไข่

ความพิเศษของหมามุ่ย อยู่ตรงขนอ่อนที่ปกคลุม เพราะเป็นขนที่เต็มไปด้วยสารชนิดหนึ่ง

เรียกว่า 'สารซีโรโทนิน' (Serotonin) เมื่อโดนจะทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคือง ซึ่งฝักจะออกมากในช่วงฤดูหนาวถึงฤดูแล้ง และปลิวตามลม

ชาวบ้านทั่วไป เมื่อพบจึงมักทำลายเถ้าหมามุ้ยทิ้ง

"ปัจจุบัน ประชาชนทั่วไปหันมาใช้ยาแผนปัจจุบันของตะวันตกจำนวนมาก ซึ่งหากมีสิ่งที่สามารถลดปริมาณการใช้ยาได้ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ ซึ่งสมุนไพรไทยหลายชนิดสามารถนำมาใช้ทดแทนได้ และสามารถต่อยอดสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้" ภญ.ผกากรอง ระบุ

เภสัชกรชำนาญการ ร.พ.จ้าพระยาอภัยภูเบศร อธิบายว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ในอดีต

หมอยาแผนโบราณค้นพบวิธีนำหมามุ่ยมาใช้หลากหลายตำรับด้วยกัน

โดย นำมาใช้ประโยชน์ตั้งแต่ ราก ใบ ฝัก เม็ด เช่น ใช้รากแก้คัน ใช้ถอนพิษ ล้างพิษ เม็ด ใช้ทั้งกินเม็ดคั่ว นึ่ง และบด เป็นผง เพื่อบำรุงกำลัง เพิ่มน้ำเชื้อ เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ 

ในประเทศอินเดีย พบว่า มีพืชวงศ์เดียวกับหมามุ่ยของไทย ซึ่งปลูกเพื่อนำไปแปรรูปอย่างจริงจัง

เพราะ มีการศึกษา วิจัย อย่างเป็นระบบ กระทั่งสกัดเป็นยา เพื่อเพิ่มความต้องการทางเพศ คลายเครียด และเพิ่มการเผาผลาญและมวลของกล้ามเนื้อ

สาเหตุที่หมามุ่ยเป็นที่น่า สนใจอีกประการ เนื่องจากโรคเกี่ยวกับการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ การมีลูกยาก ถือเป็นโรคที่หลายประเทศมีอัตราการใช้สูงเพิ่มมากขึ้น

สำหรับประเทศไทย มีรายงานอย่างไม่เป็นทางการว่า เราใช้เงินซื้อ 'ยารักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ' ของตะวันตกไปกว่าร้อยล้านบาท

ในขณะที่ทั่วโลกมีอัตราการใช้อยู่ที่ประมาณห้าหมื่นล้านบาท

จากรายงาน ทางการแพทย์ มีการทดลองในสัตว์ พบว่าสารธรรมชาติในหมามุ่ย ทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น เพิ่มความถี่ในการผสมพันธุ์ได้เป็นสิบเท่า

รวมทั้งยืดระยะเวลาในการมีเพศสัมพันธŒทำให้ชะลออาการหลั่งเร็วได้ และเพิ่มปริมาณฮอร์โมนทางเพศ

ในปี 2550 'K.K.Shukla' รายงานการวิจัยที่ทำในผู้ชายอินเดีย 75 คน ซึ่งประสบปัญหาการมีบุตรยาก เนื่องจากความเครียด พบว่า

หลังจากให้เม็ดหมามุ่ยทานในปริมาณ 5 กรัมต่อวันนาน 3 เดือน ระดับความ เครียดลดลง และคุณภาพปริมาณของ 'อสุจิ-น้ำเชื้อ' เพิ่มขึ้น

จาก การวิจัย พบว่า เม็ดหมามุ่ย มีสารแอลโดปา (L-Dopa ) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์โดพามีน (Dopamine) หรือสารที่มีอิทธิพลสูงต่อระบบสืบพันธุ์ อีกทั้งยังเป็นสารสื่อประสาท ซึ่งใช้ในการรักษาโรคพาร์กินสันอีกด้วย แต่ต้องใช้ในรูปแบบของการผ่านวิธีการ 'สกัด' มาเป็น 'ยาเม็ด' เพราะร่างกายไม่สามารถได้รับสารในรูปแบบของเมล็ดแปรรูป หรือสดได้

ภญ.ผกา กรอง กล่าวว่า ประชาชนทั่วไปก็สามารถนำเม็ดหมามุ่ยมาเป็นยาสมุนไพรทานเองได้ แต่ก็มีข้อควรระวังอยู่บ้าง เพราะการเก็บหมามุ่ย ต้องรู้วิธีเพื่อไม่ให้คัน

วิธีการเก็บ คือ เลือกจากต้นที่ฝักแก่ สังเกตง่ายๆ คือ เม็ดฝักเหมือนจะปริแตก แล้วฉีดน้ำให้เปียก เพื่อป้องกันขนอ่อนที่ฝักฟุ้งกระจาย สวมถุงมือป้องกันแล้วเก็บเม็ดมาคั่วไฟ แล้วนำไปล้างน้ำ ก่อนนำไปคั่วไฟอีกรอบ

สําหรับข้อควรระวังในการทาน เม็ดหมามุ่ย คือ ต้องคั่วให้สุก เพราะหากไม่สุก จะเกิด 'สารพิษ' บางอย่างขึ้นทำให้เกิดอาการประสาทหลอนได้ เพราะในเม็ดหมามุ่ยมีสารแอลโดปา ที่จะทำให้สารสื่อประสาทเกิดความไม่สมดุลได้

นอกจากนี้ ยังมีผู้ป่วยบางโรคที่ไม่ควรกิน เช่น ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ผู้ที่ต้องใช้ยาทางจิตเวช รวมทั้งเด็ก และหญิงตั้งครรภ์

ส่วน ปริมาณที่แนะนำ ถ้าเป็นคนทั่วไป ไม่ได้มีปัญหาการมีบุตรยาก หรือสมรรถภาพทางเพศ แนะนำให้กินวันละประมาณ 3 เม็ดต่อวัน จะทำให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า แต่หากมีปัญหา แนะนำให้กินวันละ 5 กรัม หรือ 25 เม็ด ไม่เกิน 3 เดือน

การทานเม็ดหมามุ่ยก็มีหลายวิธี 

ทั้งการป่นเป็นผง และกินผสมกับกาแฟ หรือชา ก็ไม่เสียรสแต่อย่างใด

หรือจะชงกินกับน้ำร้อนเปล่าๆ ก็จะออกรสเปรี้ยวนิด มันหน่อยๆ

หรือกินเม็ดคั่วกับข้าวเหนียว หรือเคี้ยวเม็ดที่คั่วแล้วก็สามารถทำได้เช่นกัน



ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงตำรายาโบราณ ที่มีหมามุ่ยอยู่ในตำรับด้วยนั้นมีด้วยกันหลายตำรับด้วยกัน

อาทิ ตำรับตาเพ็ง จะนำเม็ดมาคั่ว ทิ้งให้เย็นแล้วบด หรือ กินทั้งเมล็ด โดยนำไปแช่น้ำก่อนแล้วค่อยเคี้ยวกินเช้า เย็น หรือ บดแล้วใช้ครั้งละ 1 ช้อนแกง โดยห่อผ้าขาวบาง แช่ในน้ำ 1 แก้ว นาน 30 นาที รับประทานเช้าเย็น ตำรับนี้ว่าไว้ว่า เสริมกำหนัดและเสริมแรงผู้ชาย จะออกฤทธิ์ใน 2-3 วัน ทำให้หลับสบาย จิตใจเบิกบานแจ่มใส แต่ห้ามกินต่างน้ำ หรือกินเยอะเกินไป

ตำรับ พ่อประเดิม ส่างเสน หมอยาอำเภอฝาง ระบุว่า ให้เอาเม็ดหมามุ่ยแก่จัดมาตากแดดให้แห้งแล้วตำ เป็นผง ใช้น้ำผึ้งเป็น กระสาย ทำให้เป็นลูกกลอน กิน 3 เวลา 7 วัน ตำรับนี้ว่าไว้ว่า รักษาอาการนกเขาไม่ขัน เป็นยาบำรุงกำลัง

ตำรับพ่อกอยะ หมอยาบ้านต้นฮุงหัวฝาย ระบุว่า ให้ใช้เม็ดแก่จัดใส่ในหม้อนึ่งข้าว พอข้าวสุก เม็ดหมามุˆยก็สุกด้วย โดยกินครั้งละ 1 เม็ด พร้อมข้าว 3 เวลา

ตำรับ พ่อพลายแสง บ้านสินชัย ระบุว่า ใช้รากหมามุ่ยตากแห‰ง 1 กิโลกรัม เมล็ดผักชี 3 ขีด เมล็ดผักกาด 5 ขีด นำทั้งหมดมาตำรวมกันเป็นผง ผสมน้ำผึ้งป่า หมักไว้ 3 เดือน แล้วใช้กินก่อนนอนทุกวัน โดยเวลากินให้กินในปริมาณขนาดเท่าผลมะเขือพวง จะแก้ปวดเมื่อย ช้ำใน

ตำรับหมอยาเมืองเลย ระบุว่า สามารถนำรากต้ม กินแก้ไอ ใช้เมล็ดตำเป็นผง พอกแก้พิษแมง ป่องกัดได้

"หาก ทำวิจัยอย่างครบวงจร และส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตเพื่อนำมาต่อยอด จะสามารถฉวยให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจได้ เพราะปัจจุบันแม้แต่อินเดีย ที่วิจัยในเรื่องนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลิตออกขายเชิงอุตสาหกรรมประเทศไทยจึงถือว่ามีโอกาสที่จะเร่ง พัฒนายาสมุนไพรตัวนี้ได้" ภญ.ผกากรอง กล่าว

ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขมอบหมายให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และมูลนิธิ ร.พ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร เร่งศึกษาวิจัยและพัฒนาสมุนไพรหมามุ่ยให้เป็นที่ยอมรับในทางวิทยาศาสตร์และ คลินิก เพื่อนำไปขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยอาจทำเป็น 2 รูปแบบ คือ ยารักษาโรค และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และมั่นใจว่าจะนำพืชหมามุ่ยมาต่อ ยอดเศรษฐกิจในเชิงอุตสาหกรรมได้

    เครดิต http://www.abhaithaiherb.com/

    เป็นยังไงครับ พอได้ทราบคุณสมบัติของมันแล้วเดี๋ยวผู้เขียนต้องมองๆหาชนิดสำเร็จรูปมาทานบ้างแล้วละสิ เพราะถ้าจะให้ไปหาในป่าเก็บมาทำเองคงจะไม่ไหว กว่าจะได้กินคงต้องวิ่งหายาหาหมอแก้คันเพิ่มขึ้นอีกโรค



วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558

กลูต้าไธโอน Glutathione คืออะไร?

 มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนได้ยินมานานเป็นเรื่องของอาหารเสริมชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า กลูต้าไธโอน ผู้คนกล่าวกันว่ามีสรรพคุณช่วยให้ผิวขาวอมชมพู ผู้เขียนก็ไม่เข้าใจ ไม่เคยรู้ มาก่อนว่าข้อเท็จจริงเป็นยังไง ก็ได้ไปสืบค้นข้อมูลมาได้ จากเว็บที่น่าเชื่อถือแห่งหนึ่ง เราลองมาดูกัน.....

กลูต้าไธโอน Glutathione คืออะไร? ช่วยให้ขาวได้ดั่งฝันจริงหรือ?




กลูต้าไธโอน Glutathione คืออะไร?
         สา รกลูตาไธโอน เป็นสารที่เซลล์ในร่างกายเราสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วนโดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่ สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกาย เช่น ตัวยาหรือสารพิษที่ไม่ละลายน้ำ เมื่อรวมตัวกับสารกลูตาไธโอน จะช่วยให้ละลายน้ำได้และถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ในที่สุด สารพิษจำพวกโลหะหนักหรือสารกำจัดแมลง สามารถถูกขจัดออกจากร่างกายได้โดยการทำงานของกลูตาไธโอนร่วมกับตับ
          สารกลูต้าไธโอนยังมีหน้าที่สำคัญอีกมากมายในร่างกาย เช่น สังเคราะห์โปรตีน ช่วยให้เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง ช่วยเร่งการซึมผ่านของสารอาหารเข้าสู่เซลล์ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งนั่นเอง
Glutathione (กลูต้าไทโอน) เป็นสารประเภท Tripeptide ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine, Glycine และ Glutamic acid หน้าที่หลักของสารตัวนี่ที่เด่นมีอยู่ 3 ประการ คือ
1. Detoxification : กลูต้าไทโอนช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะ Glutathion-S-transferase ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกายโดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับ1 จากการถูกทำลายโดย แอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ ยาพาราเซตามอลเกินขนาด (Overdose) ฯลฯ
2. Antioxidant : กลูต้าไทโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Antioxidant) ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และหากขาดไป วิตามินซีและอี อาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่
3. Immune Enhancer : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย2 โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้กลูตาไทโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีนและ protaglandin
โดยสรุปสารกลูต้าไธโอน จึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มีกำลังสูงเมื่อเปรียบเทียบกับ วิตามินซีหรือวิตามินอี เมื่ออายุคนเรามากขึ้นปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายจะลดน้อยลง มีผลทำให้เซลล์และอวัยวะทุกส่วนเสื่อมโทรมลง ในทางตรงกันข้าม นักวิจัยพบว่าผู้ที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรง มักจะตรวจพบสารกลูตาไธโอนปริมาณสูงในกระแสเลือด
การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์จากสารกลูต้าไธโอน
สารกลูต้าไธโอนมีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบเส้นประสาท บกพร่อง เช่น โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยได้รับการรับรองให้ใช้เป็นยามามากกว่า 30 ปี การรักษามักจะให้ โดยการฉีดเข้าเส้นหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ อาการข้างเคียงของยาดังกล่าวตอนนี้ยังไม่พบ แต่อย่างไรก็ตามพบว่า สารกลูตาไธโอนมีผลข้างเคียงในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ผลข้างเคียงนี้จึงทำให้มีการแตกตื่นและนำกลูต้าไธโอนมาเตรียมเป็นยาเม็ด เพื่อใช้เป็นอาหารเสริม เพื่อชะลอวัย และหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู
ยาเม็ดกลูต้าไธโอน ได้ผลจริงหรือ ?
ในวงการของอาหารเสริม มีการนำสารกลูต้าไธโอนมาทำเป็นยาเม็ดในขนาดความแรงต่างๆ กัน เพื่อใช้ในการรับประทานเป็นอาหารเสริม โดยหวังผลว่า จะสามารถเสริมและทดแทนปริมาณกลูตาไธโอนที่ร่างกายมีไม่พอหรือบกพร่องไป อันเนื่องมาจากสาเหตุของโรคต่างๆ
จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า สารกลูตาไธโอนจะไม่สามารถถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหารได้ เพราะจะถูกย่อยสลายและขับออกทางลำไส้ ดังนั้นการรับประทานยาเม็ดกลูต้าไธโอนจึงไม่ได้รับประโยชน์เลย ไม่ว่าจะกินครั้งละหลายๆ เม็ดหรือในขนาดที่สูงมากๆ ก็ตาม
กลูต้าไธโอนช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือ?
ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น อาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ของการใช้ยากลูต้าไธโอนคือ การยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ผิวหนัง รวมทั้งการเปลี่ยนเม็ดสีที่สร้างขึ้นจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว จึงมีการคิดนำเอาสารชนิดนี้มาใช้เป็นอาหารเสริมโดยหวังว่า จะสามารถเสริมและเพิ่มความเข้มข้นของกลูต้าไธโอนในกระแสเลือดให้มากๆ เพื่อหวังผลให้ผิวหน้าขาวอมชมพู แต่ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมนั้น ทานมากเท่าไหร่ก็จะไม่ได้ผล เพราะสารชนิดนี้จะถูกย่อยสลายและกำจัดออกจากร่างกาย ไม่ถูกดูดซึม แพทย์หลายสำนักจึงได้มีการดัดแปลงโดยทำการฉีดเข้าเส้นหรือเข้ากล้ามเนื้อ เช่นเดียวกับการรักษาโรคต่างๆ อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงของผิวขาวเป็นอาการชั่วคราวเท่านั้น จึงไม่ควรใช้ยานี้ในทางที่ผิด
ภาวะที่ร่างกายขาดกลูต้าไธโอน
          เนื่องจากสารดังกล่าวร่างกายสร้างได้เอง แต่สภาวะที่ร่างกายอาจขาดหรือมีกลูต้าไธโอนไม่เพียงพอ เช่น เมื่อร่างกายมีโรคแทรกซ้อน ทำให้กลูต้าไธโอนลดน้อยลงด้วยสาเหตุการถูกทำลายด้วยยารักษาหรือด้วยตัวโรค เอง หากร่างกายขาดหรือมีกลูตาไธโอนน้อย จะมีผลทำให้เกิดโรคตับอักเสบง่าย ทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ มีโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจ โรคหืด ผู้ที่มีกรรมพันธุ์เกี่ยวกับความบกพร่องของกลูต้าไธโอนมักจะมีปัญหาโรคแทรก ซ้อนทางระบบประสาท ผู้ที่ป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ ปริมาณกลูต้าไธโอนในระบบเลือดจะต่ำมากๆ ผู้ที่สูบบุหรี่จัดก็เช่นกัน ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย
กลูต้าไธโอนในธรรมชาติ
   พบมากในผลไม้ ได้แก่ แตงโม สตรอเบอรี่ องุ่น ผลอโวกาโด ส่วนในผักพบมากใน หน่อไม้ฝรั่ง สำหรับเนื้อสัตว์จะพบได้ใน ปลา และเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว จะพบมากใน Asparagus อะโวกาโด และ Walnut ร่างกายเราก็สามารถสร้างกลูต้าไทโอนได้และมีสารหลายชนิดที่ช่วยเพิ่มการ สร้างได้แก่ Alpha lipoic acid, Glutamine3, Methionine, Whey Protein, Vitamin B-6, Vitamin B-2 , Vitamin C4 และ Selenium
ดังนั้นควรเลือกรับประทานจากธรรมชาติดีกว่าที่จะหลงไปใช้สารนี้อย่างผิดๆ และขาดความเข้าใจ

กลูต้าไธโอน Glutathione คืออะไร? ช่วยให้ขาวได้ดั่งฝันจริงหรือ?,กลูต้าไธโอน คือ,กลูต้าไธโอน ผลข้างเคียง,กลูต้าไธโอน แบบฉีด,กลูต้าไธโอน อันตราย,กลูต้าไธโอน แบบกิน,ฉีด กลูต้าไธโอน

เครดิตจาก  http://www.tlcthai.com/education/knowledge-online 

สรุปแล้วใครจะเชื่อหรือไม่อย่างไรก็คอมเม้นท์เข้ามาดูนะครับ ส่วนผู้เขียนเองเชื่อว่า ข้อมูลเขาก็น่าเชื่อถืออยู่นะครับ  สำหรับเรื่องกลูต้าไธโอน  น่าจะกินอาหารที่ไปช่วยสร้างมากกว่า การกินเข้าไปตรงๆ เพราะมันจะไม่สามารถเอาไปใช้ได้....แค่ผ่านขั้นตอนย่อยของระบบกระเพาะอาหารลำไส้คนเราก็คงจะสลายตัวไปหมด